ตอนที่ 4/15 ปารีส
เข้าสู่วันสุดท้ายในปารีส วันนี้เราจะไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกครั้งหลังจากที่ได้ไปชมผลงานสำคัญบางชิ้นที่อยากดูจริงๆก่อนในคืนแรกที่มาถึง
ด้านล่างของลูฟวร์เป็นรูปปิรามิดกลับหัว
เราไปถึงหลังเวลาเปิดพิพิธภัณฑ์เกือบๆหนึ่งชั่วโมงซึ่งคนที่ต่อคิวรอเข้าก็ยาวพอดูแล้วค่ะ สำหรับคนที่มี Paris Museum Pass สามารถต่อคิวเข้าแถวตรวจ Security ได้เลยโดยที่ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋ว หรือถ้าใครอยากจะรู้ประวัติความเป็นมาของงานศิลปะสำคัญๆภายในนั้นก็สามารถยืม Audio Guide มาได้ค่ะ
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่และเก่าแก่สุดในโลกและมีผู้เข้าชมต่อปีเป็นจำนวนมากที่สุดคือกว่าแปดล้านคนต่อปี ที่นี่เป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวแทบทุกคนที่ได้ไปเยือนปารีส ลูฟวร์มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานโดยแรกเริ่มถูกสร้างในยุคของ Philippe Auguste เมื่อประมาณแปดร้อยกว่าปีมาแล้วเพื่อใช้เป็นป้อมปราการที่รู้จักกันในชื่อ Louvre บางส่วนของโครงสร้างในยุคนั้้นยังคงอยู่และสามารถไปชมได้ที่ชั้นล่างซึ่งเปิดให้ชมฐานรากของพิพิธภัณฑ์
รากฐานของพิพิธภัณฑ์
ลูฟวร์ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาเรื่อยๆจนในปี 1364 ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงความสำคัญของมันเป็นพระราชวัง และในปี 1793 ได้เปิดให้เข้าชมผลงานศิลปะซึ่งมีมากกว่า 35,000ชิ้น ที่อย่างที่เคยเล่าไปก่อนหน้านี้ว่าหลายๆงานศิลปะที่นี่มีความสำคัญและทรงคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ
The Great Sphinx แกะสลักจาก Pink granite
หลายชิ้นเป็นผลงานก่อนยุคประวัติศาสตร์ แสดงอารยธรรมของมนุษย์ยุคต่างๆเช่น รูปแกะสลักยุคเมโสโปเตเมีย เครื่องใช้ ทองคำ มัมมี่ รูปบูชาหรือโลงศพอียิปต์ กรีก โรมันจนถึงศตวรรษที่ 19
The Seated Scribe
โลงศพ
หลังจากที่ได้เดินดู collection ต่างๆที่ถูกรวบรวมไว้ที่นี่ก็แอบเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ปราสาทเขาพนมรุ้งบ้านเราที่ถูกโจรกรรมไปแล้วไปตั้งโชว์ในชิคาโก สหรัฐอเมริกาแต่โชคดีที่สุดท้ายเราก็สามารถนำกลับมาคืนที่เดิมได้ ก็แอบนินทาฝรั่งเศสในใจนิดนึงว่านอกจากจะแสดงผลงานสำคัญๆในโลกแล้วยังบอกถึงความสามารถในการนำเอาสมบัติชาติของที่อื่นมาเก็บรักษาไว้ด้วย(ล้อเล่นนะ แหะๆ)
สำหรับผลงานสำคัญที่ตั้งใจจะไปดูให้ได้ที่พิพิธภัณฑ์นี้ก็คือ
รูปสลักเทพีแห่งชัยชนะที่ไร้ศรีษะแต่ยังคงความงามแข็งแกร่งและพริ้วไหวและชวนให้จินตนาการถึงหน้าตาที่แท้จริงของนาง
เทพี่แห่งชัยชนะ มาสเตอร์พีชชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ประทับใจที่สุดเพราะสวยงาม แข็งแกร่งและพริ้วไหวมากจริงๆ มีชื่อว่า The Winged Victory of Samothrace
ภาพเขียน Mona Lisa ของลีโอนาร์โด ดาวินชีผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรอยยิ้มปริศนา เขาใช้เวลากว่าห้าปีในการวาดและยังไม่แน่ชัดว่าวาดเสร็จแล้วหรือไม่ จนเป็นที่พูดถึงว่าเขาหวงแหนรูปนี้มากจนนำติดตัวไปไหนมาได้ด้วยและนำมาฝรั่งเศสก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
Portrait of Lisa Gherardini หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mona Lisa ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรอยยิ้มปริศนา เขาใช้เวลากว่าห้าปีในการวาดและยังไม่แน่ชัดว่าวาดเสร็จแล้วหรือไม่ จนเป็นที่พูดถึงว่าเขาหวงแหนรูปนี้มากจนนำมาฝรั่งเศสก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
The Virgin of the rocks อีกผลงานของลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งถูกกล่าวถึงในหนังสือเรื่อง Da Vinci Code ที่เป็นที่พูดถึงกันถึงนัยยะที่ดาวินชีต้องการจะสื่อผ่านรูปภาพ รูปนี้เป็นรูปของพระแม่มารีโอบพระเยซูคริสต์ครั้งเป็นทารกโดยชูมือในลักษณะป้องกันเหนือเซนต์จอห์นที่ทำนิ้วคล้ายจะสั่งสอนพระเยซูคริสต์ที่มีท่าทีอ่อนน้อม เซนต์แอนน์นั่งเคียงข้างเซนต์จอห์นและชี้นิ้วไปยังพระเยซู ภาพนี้ไม่ได้ถูกส่งไปยังผู้ว่าจ้างของดาวินชี แต่เขาเพ้นท์รูปนี้ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งแทนซึ่งมีความอ่อนโยนกว่า ปัจจุบันรูปใหม่นั้นถูกจัดแสดงอยู่ที่ลอนดอน
Eros and Psyche รูปนี้เป็นรูปของ Psyche ที่กำลังหลับลึกอยู่และตื่นขึ้นด้วยจุมพิสของ Eros
หลังคาในโถงส่วนท้ายของพิพิธภัณฑ์
ออกมาเดินเล่นด้านนอกของลูฟว์
หลังจากนั้นเดินชมศิลปะกันอย่างเต็มที่ที่เมื่อยพอสมควร เราก็เดินไปนั่งทานมองต์บลังค์และช็อกโกแลตร้อนจากร้านอองเชลิน่า (Angelina) ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ร้านนี้ได้ชื่อว่ามีมองต์บลังค์ที่อร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และช็อกโกแลตร้อนที่เข้มข้นหอมมันจริงๆค่ะ
ส่วนใครที่มาฝรั่งเศสและอยากลองทานมาการงจากประเทศต้นตำรับ ร้านที่อยากแนะนำให้ลองไปชิมนั่นก็คือ Pierre Herme’ ซึ่งมีอยู่หลายสาขาในปารีสซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นมาการงที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมาค่ะ
ขนมหลากหลายอื่นๆให้เลือกชิม
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายในปารีสเราจึงออมแรงไว้สำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ช่วงบ่ายจึงเป็นการเดินช้อปปิ้งที่ห้างลาฟาแยต และทานอาหารฝรั่งเศสในร้าน Chartier
ซึ่งเมื่อมาถึงฝรั่งเศสแล้วสิ่งที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือการทานหอยทาก (Escargot)
ที่มาในจานหลุมคล้ายหม้อขนมครกและอุปกรณ์สำหรับคีบหอยทาก
แกะย่าง
สปาเก็ตตี้
อาหารในร้านนี้เรียกได้ว่าอร่อยทุกอย่างซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทานอีกแน่ๆหากมีโอกาสได้มาเที่ยวปารีสในครั้งต่อไป
สำหรับทริปต่อไปเราจะไปเยือนสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศที่สร้างความประทับใจอย่างมากให้แก่พวกเรา 🙂
-จบตอนที่ 4/15-